ประวัติ โจเซป "เป๊ป" กวาร์ดิโอล่า ยอดผู้จัดการทีมผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทำความรู้จักกับ โจเซป “เป๊ป” กวาร์ดิโอล่า อี ซาลา (Josep ‘Pep’ Guardiola i Sala) เขาคือหนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยปรัชญาฟุตบอลที่เน้นการครองบอลและเทคนิคอันซับซ้อนที่เรียกว่า “Tiki-Taka” และ “Positional Play” เป๊ปสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีมมาแล้วถึงสามสโมสรยักษ์ใหญ่ในสามลีกชั้นนำของยุโรป ได้แก่ บาร์เซโลนา, บาเยิร์น มิวนิค และล่าสุดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ซึ่งเขาสร้างยุคทองและพาทีมคว้า ทริปเปิลแชมป์ ได้เป็นครั้งที่สองในอาชีพ
เป๊ป กวาร์ดิโอลา
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม: โจเซป กวาร์ดิโอล่า อี ซาลา (Josep Guardiola i Sala)
วันเกิด: 18 มกราคม 1971
สถานที่เกิด: ซันต์เปดอร์, บาร์เซโลนา, แคว้นกาตาลุญญา, สเปน
อายุ: 54 ปี (ข้อมูล ณ ปี 2025)
ส่วนสูง: 180 เซนติเมตร
ตำแหน่งในปัจจุบัน: ผู้จัดการทีม
สโมสรปัจจุบัน: แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สัญชาติ: สเปน (คาตาลัน)
ชีวิตในวัยเด็กและอาชีพนักฟุตบอล รากฐานของปรัชญาฟุตบอล
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เกิดและเติบโตในเมืองเล็ก ๆ ใกล้กับบาร์เซโลนา เขาถูกครอบครัวปลูกฝังความรักในเกมฟุตบอลตั้งแต่เด็ก และเข้าร่วมอะคาเดมีชื่อดังของ บาร์เซโลนา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ลา มาเซีย” (La Masia) เมื่ออายุ 13 ปี
บาร์เซโลนา (Dream Team) เป๊ปใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรที่เขารัก โดยเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรับ (Defensive Midfielder) หรือที่เรียกว่า Deep-Lying Playmaker เขาเป็นหัวใจสำคัญของทีม “Dream Team” ภายใต้การคุมทีมของโค้ชในตำนานอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ (Johan Cruyff) ซึ่งเป็นผู้ที่ปลูกฝังปรัชญา Total Football ให้กับเป๊ปอย่างลึกซึ้ง ในฐานะนักเตะ เขาพาทีมบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลาลีกา 6 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เดิม) 1 สมัยในปี 1992
ปลายอาชีพการค้าแข้ง หลังจากอำลาบาร์เซโลนาในปี 2001 เขายังไปเล่นในอิตาลีกับเบรสชาและโรม่า รวมถึงมีช่วงเวลาสั้น ๆ ในกาตาร์และเม็กซิโก ก่อนจะแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 2006
ชีวิตในวัยเด็กและอาชีพนักฟุตบอล รากฐานของปรัชญาฟุตบอล
เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีม การปฏิวัติฟุตบอลโลก
หลังจากแขวนสตั๊ดไม่นาน เป๊ปก็เริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมทันที และสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับสามสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป
1. บาร์เซโลนา (2008–2012) – จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน
ความสำเร็จแรก: เริ่มต้นจากการคุมทีม บาร์เซโลนา เบ และพาทีมคว้าแชมป์ลีกดิวิชัน 4 ของสเปนในฤดูกาล 2007-08
สร้างยุคทอง: ในปี 2008 เขาได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมชุดใหญ่ และในฤดูกาลแรก (2008/09) เป๊ปพาทีมคว้า ทริปเปิลแชมป์ (ลาลีกา, โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก) ได้สำเร็จทันที ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุดที่เคยคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก
สถิติ: ตลอด 4 ปี เป๊ปคว้าแชมป์รวม 14 รายการกับบาร์เซโลนา ด้วยสไตล์ Tiki-Taka ที่เน้นการครองบอล การส่งบอลระยะสั้น และการเพรสซิ่งสูง
2. บาเยิร์น มิวนิค (2013–2016) – การปรับตัวและพัฒนา
หลังจากพักงานไปหนึ่งปี เป๊ปย้ายไปคุมทีม บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2013 เขาประสบความสำเร็จในประเทศอย่างสูง โดยการคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกัน (2014, 2015, 2016) และ เดเอฟเบ-โพคาล 2 สมัย
ช่วงเวลาที่เยอรมนีนี้เป็นช่วงที่เขาได้ปรับปรุงปรัชญาของตัวเอง โดยผสมผสานรูปแบบการครองบอลเข้ากับความแข็งแกร่งทางกายภาพและไดนามิกของฟุตบอลเยอรมัน
3. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2016–ปัจจุบัน) – ยุคทองที่ไม่เคยมีมาก่อน
การมาถึง: เป๊ปย้ายมาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2016 และใช้เวลาปรับจูนทีมในฤดูกาลแรก ก่อนจะสร้างสถิติอันน่าทึ่งในเวลาต่อมา
การทำลายสถิติ: ในฤดูกาล 2017/18 เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนน 100 คะแนน (สถิติสูงสุด) และทำสถิติชนะรวดมากที่สุดในลีก
ความสำเร็จยุคใหม่: เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์อังกฤษที่พาทีมคว้า แชมป์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน และล่าสุดพาทีมคว้า ทริปเปิลแชมป์ (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก) ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2022/23 ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ทำ ทริปเปิลแชมป์ได้ถึงสองครั้ง กับสองสโมสรที่แตกต่างกัน
เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีม การปฏิวัติฟุตบอลโลก
ปรัชญาและสไตล์การทำทีม (Positional Play)
ปรัชญาการทำทีมของเป๊ปที่พัฒนามาจากรากฐานของโยฮัน ครัฟฟ์ มีความซับซ้อนและโดดเด่นอย่างมาก โดยเน้นหลักการดังต่อไปนี้
การครองบอล (Possession) การควบคุมเกมผ่านการครองบอลที่แม่นยำและอดทน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความได้เปรียบในพื้นที่ต่าง ๆ
Positional Play (Juego de Posición) การแบ่งสนามออกเป็นโซน และผู้เล่นต้องยืนประจำตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงเพื่อสร้าง Superiority (ความได้เปรียบด้านจำนวน) ในโซนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 3-2-2-3 หรือ 2-3-2-3 ในบางสถานการณ์
Full-Backs Inverted การปรับให้ฟูลแบ็ก (เช่น ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์) เข้ามาเล่นในพื้นที่กองกลางตัวรับ เพื่อเพิ่มตัวเลือกในการจ่ายบอล และป้องกันการโต้กลับ
การเพรสซิ่งสูง (High Pressing) เมื่อเสียบอล ผู้เล่นทุกคนจะทำการเพรสซิ่งทันทีเพื่อแย่งบอลคืนให้เร็วที่สุด
ปรัชญาและสไตล์การทำทีม (Positional Play)
เกียรติประวัติและรางวัลสำคัญ (ในฐานะผู้จัดการทีม)
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้สั่งสมความสำเร็จในอาชีพผู้จัดการทีมรวมแล้วมากกว่า 38 รายการ (ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2024)
เกียรติประวัติกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2016–ปัจจุบัน)
ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก: 1 สมัย (2023)
พรีเมียร์ลีก: 6 สมัย (2018, 2019, 2021, 2022, 2023, 2024)
เอฟเอ คัพ: 2 สมัย (2019, 2023)
อีเอฟแอล คัพ (ลีกคัพ): 4 สมัย (2018, 2019, 2020, 2021)
ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ: 1 สมัย (2023)
ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ: 1 สมัย (2023)
รางวัลส่วนตัวที่สำคัญ
ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Coach of the Year): 1 สมัย (2011)
ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลพรีเมียร์ลีก: หลายสมัย (เช่น 2017–18)
ผู้จัดการทีมคนแรกที่คว้าทริปเปิลแชมป์ 2 ครั้ง (กับ 2 สโมสร)
เกียรติประวัติและรางวัลสำคัญ (ในฐานะผู้จัดการทีม)
ชีวิตส่วนตัวและเกร็ดน่ารู้
การศึกษาที่ไม่สิ้นสุด อดีตกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่าง แว็งซ็องต์ กงปานี เคยกล่าวว่าการฝึกซ้อมภายใต้การคุมทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้น “เหมือนกับการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทุกวัน” ซึ่งสะท้อนถึงการเน้นย้ำเรื่องความรู้ทางแท็กติกอย่างลึกซึ้ง
ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับเขา เพื่อยกย่องความสำเร็จและการมีส่วนร่วมที่ไม่ธรรมดาต่อเมืองแมนเชสเตอร์
ความรับผิดชอบทางสังคม เป๊ปเข้าใจว่าตำแหน่งของเขานั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ เขาเป็นผู้สนับสนุนผู้ลี้ภัย เป็นผู้ท้าทายความอยุติธรรม และเป็นผู้พิทักษ์การแสดงออกทางประชาธิปไตย โดยใช้เสียงของเขาพูดเพื่อผู้ที่อาจไม่ได้รับการรับฟัง (ข้อมูลจากการได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์)


